หนุ่มซิ่งเก๋งแหกด่านต้นเหตุ 7 ตร.กระทืบผิดคน เตรียมพบตำรวจ
หนุ่มซิ่งเก๋งแหกด่านต้นเหตุ 7 ตร.กระทืบผิดคน เตรียมพบตำรวจ
คืบหน้าคดี 7 ตำรวจกระทืบผิดตัว คาดเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย - ด้านคนขับเก๋งแดงแหกด่านเตรียมเข้าพบพนักงานสอบสวน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ธ.ค. 67 ที่สน.บางเขน พ.ต.อ.ธิติพงค์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รองผบก.น.2 และพ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมติดตามคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจบก.จร. 7 นาย รุมทำร้ายร่างกายประชาชน รวมถึงการติดตามตัวผู้ขับขี่มาสด้าแดงฝ่าด่านในวันเกิดเหตุ
ต่อมาในเวลา 10.50 น. ภายหลังจากการประชุมกว่า 2 ชม. ด้าน พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รอง ผบก.น.2 ซึ่งเป็นประธานการประชุม ได้เปิดเผยหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นว่า จากการเข้าไปสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลผู้บาดเจ็บให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับภาพวงจรปิดและพยานหลักฐานที่ทางพนักงานสอบสวนรวบรวมได้ โดยเฉพาะคำให้การของครอบครัวผู้เสียหาย
ในส่วนข้อหาที่แจ้งดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตำรวจทั้ง 7 นาย ประกอบไปด้วยข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
หนุ่มถูก ตร. 7 นาย รุมทำร้ายเลือดคลั่งสมอง
รอง ผบช.น.ยันไม่ให้ความช่วยเหลือ 7 ตร.ซ้อม ปชช.
สำหรับประเด็นเรื่องข้อหาตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย นั้น จากการทำหนังสือปรึกษากับพนักงานอัยการเบื้องต้น คาดว่าน่าจะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.อุ้มหาย จึงได้ประสานให้ทางพนักงานอัยการเข้ามาร่วมการสอบสวนในคดีนี้ หากพบว่ามีความผิดก็เตรียมจะเรียกตำรวจทั้ง 7 นายมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
โดยจากการแจ้งข้อหาและสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้ง 7 นาย ยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้วและไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายร่างกาย รวมทั้งจะขอยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง ซึ่งประเด็นดังกล่าวผู้สื่อข่าวถึงสอบถามว่า แล้วมีเหตุจูงใจใดในการลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหรือเป็นยุทธวิธีของตำรวจ พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวว่า โดยหลักการแล้วทางตำรวจจะต้องคุ้มสถานการณ์โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ตามสมควรตั้งแต่เบาไปหาหนัก ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดี แต่ในส่วนรายละเอียดนั้น ต้องรอคำให้การของผู้ต้องหาก่อน จึงไม่ต้องกังวลว่าผู้ต้องหาจะให้การแบบใด เพราะพยานหลักฐานต่าง ๆ เพียงพออยู่แล้ว ส่วนคำให้การของผู้เสียหายอยู่ในสำนวนคดี ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีหลังจากนี้นั้น ทางพนักงานสอบสวนมีกรอบระยะเวลา 30 วัน ในการเร่งสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จ ก่อนจะส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. พิจารณาต่อไปว่า หาก ป.ป.ช. จะรับคดีดังกล่าวไปทำเองหรือจะส่งมอบให้พนักงานสอบสวนทำคดีเช่นเดิม โดยในกรอบเวลา 30 วันนี้รวมทั้งการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ด้วย
ส่วนคนขับรถที่แหกด่านนั้น จากการเรียกตรวจเบื้องต้นในคืนดังกล่าวพบว่ามีอาการคล้ายเมาสุราและจากการเป่าเครื่อง เบื้องต้นพบมีแอลกอฮอลล์ในลมหายใจ ทางตำรวจจึงได้เรียกจอดข้างทางเพื่อตรวจเช็คอย่างละเอียด แต่คนขับรถคนดังกล่าวได้ฝ่าฝืนแหกด่านออกไป ดังนั้น คนขับรถที่แหกด่านจึงมีความผิดฐานเมาสุราในขณะขับรถ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานและทำให้เสียทรัพย์ โดยคนขับรถที่แหกด่านยืนยันแล้วว่าจะเข้ามาพบกับพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ คาดว่า ไม่เกิน 19.00 น.
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การดำเนินคดีกับคนขับรถแหกด่าน ไม่ใช่เป็นการเบี่ยงประเด็นทางคดี แต่เป็นการดำเนินคดีแยกส่วนกันคู่ขนานกันไป ทั้งในส่วนของคนที่ขับรถแหกด่านและ 7 ตำรวจที่ทำร้ายร่างกาย
ผู้บาดเจ็บ
สำหรับประเด็นข้อสงสัยในเรื่องกล้องวงจรปิดนั้น ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานไล่กล้องวงจรปิดจนครบถ้วนหมดแล้ว โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร แต่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยแก่สาธารณะชนได้ จึงยืนยันว่าทางตำรวจไม่ได้ทำงานล่าช้าตามที่สังคมสงสัย ส่วนเรื่องกล้อง Body Cam ของตำรวจนั้น เบื้องต้นได้ทำหนังสือประสานไปยัง บก.จร. ต้นสังกัดของผู้ต้องหาทั้ง 7 นายแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอให้ทาง บก.จร. ส่งกล้อง Body Cam มาให้ โดยจะเร่งรัดให้ได้กล้องบอดี้แคมโดยเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม กล้อง Body Cam เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของพยานหลักฐาน แต่ยืนยันว่า พยานหลักฐานกล้องวงจรปิดและคำให้การของผู้เสียหายกับครอบครัวของผู้เสียหายครบถ้วนเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 7 นายแล้ว ผู้สื่อข่าวจึงตั้งข้อสังเกตว่า กล้อง Body Cam อาจจะมีการบันทึกบทสนทนาได้ดีกว่ากล้องวงจรปิด หากยังไม่ได้พยานหลักฐานส่วนนี้ จะทำให้คดีคลาดเคลื่อนหรือไม่ พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ยืนยันว่าไม่มีผลใด ๆ เพราะทางตำรวจมีพยานหลักฐานด้านอื่น ๆ ครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ไม่กังวลว่าต้อง Body Cam จะมีปัญหาว่าเสีย เพราะเนื่องจากกล้อง Body Cam นั้นมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่สาระสำคัญ - ข่าวเวิร์คพอยท์รายงาน