“หนึ่ง บางปู” แฉวีรกรรมทนายดังเรียกเงินทำคดี 10 ล้านบาท ลั่น! พร้อมวางดอกไม้จันทน์ฌาปนกิจ

“หนึ่ง บางปู” แฉวีรกรรมทนายดังเรียกเงินทำคดี 10 ล้านบาท ลั่น! พร้อมวางดอกไม้จันทน์ฌาปนกิจ

63929 ต.ค. 67 18:55   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

“หนึ่ง บางปู” อดีตลูกความ แฉวีรกรรมทนายดัง หลังปรึกษาทำคดีเลิกรากับอดีตสามีตำรวจ โดนทนายดังเรียกค่าทำคดี 10 ล้านบาท พร้อมลั่น! รอเวลานี้มานาน ไม่ได้จองกฐิน แต่พร้อมวางดอกไม้จันทน์ฌาปนกิจ

(29 ต.ค.67) นางสาววรัชญากรณ์ หรือ “หนึ่ง บางปู” อดีตลูกความทนายความชื่อดัง เล่าวีรกรรมถูกทนายความคนดังกล่าวเรียกเงิน 10 ล้านบาท หลังปรึกษาทำคดีที่ตนเองเลิกรากับอดีตสามีตำรวจ 


โดย “หนึ่ง บางปู” เล่าว่า ตนเองรู้จักกับทนายคนดังตั้งแต่เมื่อปี 2564 โดยรู้จักผ่านมูลนิธิช่วยผู้หญิงนางงามคนหนึ่ง กระทั่งเดือนเมษายน 2564 ตนเองมีปัญหากับสามีเก่า อยู่ในช่วงกำลังจะฟ้องร้องกัน และตนเองต้องแยกกับสามีเก่าจริงๆ จนได้เบอร์ติดต่อทนายดังคนนี้มา หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยติดต่อกับทางทนาย และทนายมีการถามถึงปัญหาของตนเองและสามี รวมไปถึงทรัพย์สินที่ตนเองมีทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง


เมื่อตนเองบอกทุกอย่างไปหมด ทนายคนดังกล่าวบอกกับตนเองกลับมาว่า จะจัดการเรื่องนี้ให้ แต่ต้องขอเวลาไปปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน โดยอ้างว่า เป็นบิ๊กตำรวจ หลังจากนั้นก็โทรมาบอกกับตนเองว่า ค่าดำเนินการทั้งหมด 10 ล้านบาท ซึ่งตนเองมีการต่อรองในราคา 8 ล้านบาท ทนายความคนดังกล่าวอ้างว่า ต้องส่งให้นายด้วย ทนายรายนี้ไม่ยอมลดราคาให้ จนสุดท้ายตนเองยอมจ่ายเงินมากขนาดนี้ เพราะคิดว่าทรัพย์สินที่จะแบ่งกันมันเยอะ จ่ายราคานี้ก็น่าจะสมเหตุสมผล มองว่าเงินก้อนนี้อาจจะทำให้ได้ชีวิตใหม่ เพราะมองแค่ว่า อยากให้อดีตสามีออกไปจากชีวิตเท่านั้น หลังจากที่ตกลงเรื่องราคากันแล้ว ตนเองให้เลขาทำการกู้แบงก์มาจ่ายให้กับทนาย ส่วนเหตุผลที่ต้องกู้ เพราะตนเองไม่มีเงินแล้ว เงินอยู่กับอดีตสามีทั้งหมด


ตนเองได้ทำสัญญากับทนาย ในวันที่ 23 เมษายน 2564 ที่จังหวัดระยอง โดยเงิน 10 ล้านบาท จ่ายเป็นเช็ก 3 ใบ เป็นใบละ 5 ล้าน , 3 ล้าน , และ 2 ล้านบาท หลังจากที่ทำสัญญาเสร็จแล้ว จ่ายเงินกันแล้ว ทนายคนดังกล่าวมาถ่ายรูปคู่ แล้วโพสต์ลงในโลกโซเชียล โดยอ้างกับตนเองว่า เหมือนเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัว หากอดีตสามีเห็นรูปนี้ ก็อาจจะกลัว เพราะมีทนายดีคอยประกบ แต่สุดท้ายไม่ได้เป็นแบบนั้น อดีตสามีไม่ได้กลัวแต่อย่างใด 


จากนั้น ตัวเองป่วยเข้าโรงพยาบาล แม่ของตนเองจึงโทรไปหาอดีตสามีเพื่อบอกให้พาลูกมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ซึ่งในวันนั้น อดีตสามียอมมาหา จึงได้คุยกับในวันนั้น จนทางอดีตสามียอมเซ็นเอกสารว่าจะจากแยกทางจากกันด้วยดี และในวันนั้นได้มีการเรียกให้ทนายความที่ดูแลทางบริษัทตนเอง เป็นคนเข้ามาร่างเอกสารให้ที่โรงพยาบาล เนื่องจากอดีตสามีจะค่อนข้างไว้ใจทนายความของบริษัท ซึ่งผ่านไปไม่นาน ตนเองและอดีตสามีกลับมาคบหากันอีกครั้ง และแต่งงานกัน แต่สุดท้ายก็ดำเนินไปถึงจุดที่ต้องแบ่งสินสมรสกัน ตนเองจึงตัดสินใจกลับไปหาทนายคนดังอีกครั้ง ที่สำนักงานย่านสาทร แต่ครั้งนี้ทนายคนดังกล่าวไม่ออกมาพบ และให้เลขาออกมาแทน ตนเองจึงเรียกร้องว่าจ่ายไปแล้ว 10 ล้านบาท ทำไมไม่ได้เจอกับทนาย จนสุดท้าย ทนายรายนี้ออกมาคุย ซึ่งตนเองก็ได้มีการบอกเรื่องราวที่จะปรึกษาให้ทนายฟัง ก่อนที่ทางทนายจะเดินกลับเข้าห้องไป และให้เลขามาคุยว่า ถ้าอยากให้ช่วยเรื่องแบ่งสินสมรส ต้องจ่ายเพิ่มอีก 7 แสนบาท ตนเองจึงแย้งไปกับทางทนายว่าจ่ายไปแล้วไง 10 ล้านบาท ทนายคนดังกล่าวบอกว่า 10 ล้านบาท มันจบไปตั้งแต่ตนเองเซ็นเอกสารตกลงกับอดีตสามีแล้ว และมีการยืนยันว่า หากให้ว่าความในเรื่องนี้ ก็ต้องจ่ายเพิ่ม 7 แสนบาท ซึ่งตนเองรู้สึกผิดหวังมาก หลังจากได้ยินก็รู้สึกเหมือนเจอมรสุมทันที ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการติดต่อไปหาทนายความคนดังอีกเลย


เมื่อมานึกย้อนกลับไปหลังจากที่ทนายความคนดังกล่าวได้รับเช็คเงินสดจากตนเองไปเป็นเงิน 10 ล้านบาทนั้น ก็เห็นว่าทนายความคนนี้ออกรถยนต์หรูปอร์เช่ ทันที ก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือเงินที่ตนเองจ่ายค่าทำคดีไป จะถูกนำไปซื้อรถหรูหมดแล้ว


ส่วนสาเหตุที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่ได้หิวแสง แต่เห็นข่าวของเจ๊ อ. และรอวันนี้มานาน เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์กับตนเองนั้น ตนเองก็เก็บเงียบมาโดยตลอด พร้อมบอกอีกว่า ขอบคุณสวรรค์ ที่ทำให้ตัวเองได้พูด ฟ้ามีตาเป็นอย่างมาก ที่ออกมาวันนี้ไม่ได้จะจองกฐิน แต่เป็นการนำดอกไม้จันทน์มาวางเพื่อฌาปนกิจ ทนายความคนดังคนนี้ 


ส่วนตัวมองว่าอาจจะมีอดีตลูกความรายอื่นที่โดนลักษณะเดียวกันกับตนเองอีก และยืนยันว่าไม่ได้จะเรียกร้องอะไร แต่หากทนายความชื่อดังมีจิตใต้สำนึกอยากจะคืนเงิน ก็จะขอบคุณมาก เพราะชีวิตของตนเองนั้น ต้องพังพินาศ และล้มละลายก็เพราะทนายความคนนี้


ด้าน นางสาวศรันยา หวังสุขเจริญ หรือ ทนายนิด้า ทนายความชื่อดัง เปิดเผยว่า เรื่องจองกฐินตนเองในฐานะประชาชนผู้เสพสื่อต้องใช้วิจารณญาณ ยอมรับว่าติดตามข่าวอยู่ เพราะทนายความคนนี้ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง ต้องยอมรับว่ายังไม่เคยเห็นทนายความคนไหนดังระดับคนนี้


ตนเองมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไรต้องตอบว่า เป็นผู้มีวิชาชีพเดียวกันคือทนายความ ที่ผ่านมาทนายความที่อยู่ในสื่อ ในแสงหลายคน แม้แต่ตนเองก็ตาม บางครั้งอาจไปก่อให้เกิดผลกระทบต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพคนอื่น ทนายความที่อยู่ในสื่อ ในแสงมีอานุภาพในการชี้นำสังคมได้ หากเป็นคนดีก็ชี้นำไปสิ่งที่ดี หากไม่ดีก็ทำให้สังคมตกต่ำได้ ทำให้ทนายที่อยู่ในแสงหลายคนที่ผ่านมามักจะถูกเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน หรือประชาชนติเตือน 


คนมองว่าไม่มีความรู้ความสามารถจริงเรียกกระแสไปวันๆ ส่วนตัวก็ได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย แม้จะไม่ได้ดังแต่เชื่อว่าก็อยู่ในสื่อในแสงประมาณนึง เวลาที่สังคมบอกว่าทนายที่อยู่ในสื่อนั้นไม่ดี ตนเองก็มักจะถูกมองไปด้วย ถูกเหมารวมไปด้วย ตนเองไม่ได้ยืนยันหรือหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ก็กระทบต่อเพื่อนร่วมอาชีพที่ไม่ได้อยู่ในสื่อ ในแสง สาธารณะด้วย เหมือนประชาชนเห็นเพียงแค่คนเดียว แต่ก็เหมารวมไปทั่วประเทศ 


ตนเองก็ติดตามข่าวสารที่ทนายความคนดังถูกกล่าวหาว่าไปฉ้อโกง หรือเรียกรับเงิน ซึ่งก็ตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะหากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่ แต่หากไม่เป็นความจริงก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทนายความคนดังกล่าว


ตนเองก็มองว่าผิดวิสัย หลังจากที่รู้จักทนายคนดังผ่านสื่อมาหลายปี ก็เห็นบุคลิกว่าเป็นคนคล่องแคล่ว ว่องไว และเป็นคนที่ใครต่อยมา ก็พร้อมจะต่อยสวน เมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น หรือแม้เป็นเรื่องตัวเอง จะเห็นทนายความคนดังกล่าว ตอบโต้อย่างฉับไว ซึ่งประชาชนก็ได้คลายความสงสัย แต่กลายเป็นว่าครั้งนี้ ทนายความคนดังกล่าวยังไม่ได้มีคำตอบ จากสิ่งที่ถูกกล่าวหา ซึ่งเมื่อไม่ออกมาตอบคำถาม ก็ยิ่งทำให้คนคิดได้ว่าเรื่องที่ถูกกล่าวหา เป็นเรื่องจริง ส่วนตัวเป็นทนายความก็ฟังหูไว้หูอยู่แล้ว เพราะเวลาใครเล่าเรื่องอะไรก็มักจะเล่าเรื่องดีของตัวเอง ในฐานะทนายความ มีศักยภาพมากพอที่จะประมวลผลสิ่งที่ได้ฟัง 


ในฐานะที่เป็นอาชีพทนายความด้วยกัน ตนเองไม่สามารถตอบได้ว่าทนายความคนดังกล่าวจะใช้วิธีการสู้แบบใด เพราะวิธีการสู้กลับที่ผ่านมาของทนายความคนดังคนนี้ ตนเองก็ไม่ได้เลือกใช้วิธีเหมือนทนายความคนดังอยู่แล้ว


พร้อมยอมรับว่าเรื่องค่าวิชาชีพไม่ได้มีข้อกำหนดว่าจะต้องเรียกเก็บกี่บาท แต่หากพูดถึงตนเอง หรือทนายความที่รู้จัก จะมีกรอบวิธีคิด คือ การประเมินเนื้อหาคดี ความยากง่ายเป็นอย่างไร มีหลักฐานมากพอหรือไม่ จำเป็นต้องใช้บุคลากรของทนายความที่เข้ามาร่วมดูคดีมากแค่ไหน และประเมินจากศักยภาพของตัวผู้ว่าจ้าง ซึ่งก็มีหลายคนที่ประเมินว่าหากมีศักยภาพสูงก็จะเรียกเก็บแพง แต่หลายคนก็จะมีเกณฑ์อยู่แล้ว และไม่เรียกสูงมากไปกว่าที่ตั้งไว้ แต่หากศักยภาพของผู้ว่าจ้างน้อย ก็เลือกที่จะลดลงมาได้


ส่วนกรณี เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านบาท จากลูกความเป็นค่าทำคดีนั้น ตนเองมองว่า หากนำเงิน 10 ล้านบาทไปทำงานก็ถือว่าไม่แพง แต่หากไม่ได้ทำงาน แล้วเรียกเงินมาเพียงแค่ 10 บาทก็ถือว่าแพงแล้ว


ส่วนตัวเคยถูกทนายความที่มีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมากหลายคนรังแก แต่ตนเองไม่ขอยืนยันว่าเป็นบุคคลใด แต่ก็มองเป็นข้อดีว่าทุกวันนี้ต้องลุกขึ้นสู้ ที่ผ่านมาเห็นทนายความหลายคนชี้นำสังคมไปในทางที่ผิด เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดจะออกมาพูด เพราะไม่อยากถูกแกล้ง หรือถูกรังแก แต่เมื่อวันหนึ่งตนเองถูกรังแก ทำให้มีความรู้สึกว่าต้องออกมาพูดว่าคือสิ่งไม่ถูกต้อง ส่วนตัวไม่ชอบคบคนเยอะ ทุกวันนี้ทำงานมีคนเข้ามาอยากรู้จักตนเอง แต่ตนเองชอบสันโดษ ไม่อยากวุ่นวายหรือต้องไปรบกวนใคร


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คุยทุกเรื่องกับสนธิ แฉ เนื้อในทนายตั้ม แผนสูงอยากให้มาดามอ้อยรับลูกตัวเองเป็นลูกบุญธรรม

เปิดปม! จุดแตกหักรถเบนซ์ 13 ล้าน “ทนายตั้ม - พี่อ้อย”

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง