กรมราชทัณฑ์ แจง ไม่เป็นความจริง ไม่มี"สมเด็จ"ในเรือนจำ
กรมราชทัณฑ์ แจง ไม่เป็นความจริง ไม่มี"สมเด็จ"ในเรือนจำ

กรมราชทัณฑ์ แจง ไม่เป็นความจริง ไม่มี"สมเด็จ"ในเรือนจำ มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด มีการสลายกลุ่มบ้านที่สร้างอิทธิพล
(7 มี.ค.68) จากกรณี นายสิทธิกร ธงยศ สมาชิกวุฒิสภา ได้มีการอภิปราย พร้อมภาพที่มีข้อความว่า “ขบวนการหากินกับคุก” สร้างความไม่เท่าเทียมกันในเรือนจำ และยังกล่าวว่า มีตัวละครที่ใช้ชื่อว่า “สมเด็จในกรมราชทัณฑ์และเรือนจำ” ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ให้สิทธิพิเศษกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ ได้นั้น
กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนว่า จากการอภิปรายดังกล่าว ไม่เป็นความจริง สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนและสร้างความเสียหายให้กับกรมราชทัณฑ์ จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้
1. ประเด็นกล่าวอ้างว่า มีขบวนการ “หากินกับคุก” ในยุคของ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยเมื่อมีผู้ต้องขังเข้าใหม่ในเรือนจำ จะมีผู้ต้องขังด้วยกันพาไปพบบุคคลที่นายสิทธิกร ขนานนามว่า “สมเด็จ” ซึ่งเป็นผู้ต้องขังที่มีอิทธิพล มีหน้าที่เป็นมือไม้ให้กับเจ้าพนักงานเรือนจำที่ทุจริต และสามารถทำให้ผู้ต้องขังเข้าใหม่ได้รับอภิสิทธิ์ฝากและใช้เงินในเรือนจำได้เกินกว่าเดือนละ 9,000 บาท ด้วยการโอนเงินตอบแทนผ่านบัญชีม้าเพื่อเป็น ค่าดำเนินการให้กับเจ้าพนักงานเรือนจำนั้น
กรมราชทัณฑ์ ขอชี้แจงว่า ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการรับ จ่ายเงินฝากของผู้ต้องขังในเรือนจำ พ.ศ. 2563 กำหนดให้ผู้ต้องขังมีเงินฝากในบัญชีได้ไม่เกินคนละ 15,000 บาท โดยเงินฝากดังกล่าวเป็นเงินที่ญาติ ฝากไว้ให้กับผู้ต้องขังแต่ละราย เพื่อไว้ซื้อสินค้าจากร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขังในเรือนจำ แต่เงินรางวัลที่ผู้ต้องขังได้รับจากการทำงานในเรือนจำ หรือการฝึกวิชาชีพ เรือนจำจะรับฝากเงินไว้ให้ในบัญชีของผู้ต้องขัง ซึ่งอาจทำให้ยอดเงินฝากเกินกว่า 15,000 บาท โดยเงินฝากดังกล่าวเมื่อผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัว จะมาถอนเงินในบัญชีจากเรือนจำไป เพื่อนำไปประกอบอาชีพ เลี้ยงดูครอบครัวภายหลังพ้นโทษ อนึ่ง กรมราชทัณฑ์ กำหนดให้ผู้ต้องขังสามารถถอนเงินฝากเพื่อใช้จ่ายประจำวัน ในเรือนจำได้วันละไม่เกิน 500 บาท หากจะถอนเงินฝากเกินกว่าวันละ 500 บาท ต้องขออนุญาตจากผู้บัญชาการเรือนจำ
2. ประเด็นกล่าวอ้างว่า “สมเด็จ” จัดให้มีการเล่นการพนันโดยใช้กล่องนมหรือกาแฟชนิดซองแทนอุปกรณ์เล่นการพนันหรือแทนเงินสด อีกทั้งยังสามารถใช้โทรศัพท์ ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำ หรือกรณีหากผู้ต้องขังไม่ต้องการย้ายเรือนจำ หรือผู้ต้องขังซึ่งไม่ได้ป่วยจริงสามารถออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้ โดยสมเด็จเป็นผู้ดำเนินการนั้น
กรมราชทัณฑ์ ขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง และไม่มีสมเด็จในเรือนจำ เนื่องจาก กรมราชทัณฑ์มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด มีการสลายกลุ่มบ้านที่สร้างอิทธิพล มีการตรวจค้นจู่โจมสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง กรณีการย้ายผู้ต้องขัง มีคณะทำงานจำแนกลักษณะผู้ต้องขังประจำเรือนจำเป็นผู้พิจารณาโดยคำนึงถึงพฤติการณ์ผู้ต้องขัง เหตุผลความจำเป็นในการย้ายอย่างละเอียดรอบคอบ สำหรับกรณีการส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ผู้ต้องขังต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์จึงจะสามารถส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอกได้
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ ขอยืนยันว่า นอกจากกฎระเบียบ และมาตรการต่างๆ ที่ได้ชี้แจงข้างต้นแล้ว กรมราชทัณฑ์ ยังเน้นย้ำให้บุคลากรทุกระดับต้องไม่กระทำการทุจริตผิดคุณธรรมจริยธรรม และต้องปฏิบัติตนตามข้อกำหนดจริยธรรม ของกรมราชทัณฑ์ พ.ศ. 2565 อย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมาหากพบการกระทำทุจริต โดยเฉพาะการนำสิ่งของต้องห้าม เข้ามาในเรือนจำหรือการให้ผู้ต้องขังมีอิทธิพล จะดำเนินการลงโทษสถานหนักทั้งทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด กรมราชทัณฑ์ จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีมูล ก็จะดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกระดับทั้งทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะเป็นกรณีความผิดที่เกิดขึ้นก่อนที่ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ตาม