"ทนายเจมส์" พาครอบครัว "สไปรท์" แร็ปเปอร์หนุ่ม ขึ้นศาล หลังโดนสังกัดเก่าฟ้อง 14 ล้านบาท

"ทนายเจมส์" พาครอบครัว "สไปรท์" แร็ปเปอร์หนุ่ม ขึ้นศาล หลังโดนสังกัดเก่าฟ้อง 14 ล้านบาท

29017 มิ.ย. 67 15:07   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ทนายเจมส์ พาครอบครัวของน้องสไปรท์ แร็ปเปอร์หนุ่ม มาที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรานัดแรก เพื่อนัดเจรจาไกล่เกลี่ย หลังเจ้าของค่ายเดิมเรียก 14 ล้าน แต่การเจรจายังไม่เป็นผล ด้านพ่อน้องเผยมองว่าไม่เป็นธรรม เพราะมีการยกเลิกสัญญาไปตั้งแต่ปี 62 และเจ้าของค่ายเดิมก็ไม่เคยเข้ามาดูแล จนน้องมีชื่อเสียงถึงจะมาฟ้องร้อง

(17 มิ.ย.67) ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต ได้พาครอบครัวของน้องสไปรท์ นายศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ นักร้องยอดกตัญญู หนุ่มแร็ปเปอร์ชื่อดังเด็กแปดริ้ว พร้อมด้วยพ่อและแม่ของน้องสไปรท์ เดินทางออกมาจากศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังก่อนหน้านี้ ต้นสังกัดเก่าของน้อง ฟ้องเรียกค่าเสียหาย จำนวน 14 ล้านบาท จากยอดวิวกว่า 420,000,000 วิว จนติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Global ส่วนตัวน้องสไปรท์ ไม่ได้เดินทางมาด้วย เพราะไปทั่วคอนเสิรต์กับต้นสังกัดใหม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 14 วัน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ทนายเจมส์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนเองเดินทางมาจากกรณีที่ตนสังกัดเก่าของน้อง อ้างว่าน้องสไปรท์ทำผิดสัญญา จากกรณีไปร้องเพลง โชว์ผลงานเพลงตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตค่ายเก่า แต่จากการสืบทราบในส่วนตัว ทราบว่ามีการบอกเลิกสัญญากันแล้วทางเฟซบุ๊ก ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างยกเลิกสัญญากันแล้ว แต่ตนเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้กลับมาฟ้องกันอีก  


วันนี้ที่เดินทางมาศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา มี 2 อย่าง อย่างแรกคือการไกล่เกลี่ยกัน อย่างที่ 2 คือการนัดชี้ 2 สถาน โดยอย่างแรก หลังจากมีการพูดคุยกัน ที่ฝั่งต้นสังกัดเก่าเรียก 14 ล้านบาท เขาได้พยายามอธิบายเหตุผลของเขาที่เรียกเงินจำนวนนี้ ซึ่งตนเองก็เข้าใจได้ แต่เหตุผลของตนคือ เงินรายได้ทั้งหมดที่น้องได้มาผ่านช่อง ไม่ได้ผ่านตัวน้อง ถ้าอยากฟ้องร้องต้องฟ้องเจ้าของช่อง ถ้าอยากฟ้องน้องต้องฟ้องในกรณีที่น้องมีรายได้ผ่านมาจากช่อง ในกรณีที่มีสัญญาผูกมัดกันอยู่ จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไปตามสัญญา  


พอคุยกันได้สักระยะ จาก 14 ล้าน ต้นสังกัดเก่ายอมลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ก็คือ 7 ล้าน ซึ่งตนเองได้ปรึกษาพ่อและแม่ของน้องแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เพราะในวันที่พ่อแม่ ผลักดันน้องจนมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เคยมีใครเข้ามาช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยน้องและพ่อแม่ยังสำนึกในบุญคุณที่หยิบยื่นโอกาสในครั้งแรกให้ แต่จำนวนเงินอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนี้  


ซึ่งหลังจากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ จึงเป็นการชี้ 2 สถาน โดยโจทย์ฟ้องว่าอย่างไร จำเลยฟ้องว่าอย่างไร ศาลก็จะกำหนดเป็นข้อพิพาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีเพียงแค่ประเด็นเดียว จึงไม่สลับซับซ้อน ศาลจึงสั่งให้สืบพยานจำนวน 2 นัด เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการของศาลต่อไป โดยทางโจทย์สืบ 5 ปาก ทางฝั่งตนเองสืบ 4 ปาก ตนเองมองเรื่องการยกเลิกสัญญาว่า จู่ๆจะบอกเลิกสัญญาชาวบ้านเลยไม่ได้ เพราะมีการเซ็นกัน 2 ฝั่ง 


ถ้าไม่มีเหตุบอกเลิกสัญญา แต่อีกกรณีคือการบอกเลิกสัญญากันด้วยลายลักษณ์อักษร และอีกกรณีคือการบอกเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันนี้ไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษร แต่พฤติการณ์ที่ทั้งสองฝั่งแสดงออกต่อกัน มันตีความได้หรือไม่ว่ามีการบอกเลิกสัญญากัน ถ้าตีความได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษร


พ่อของน้องสไปรท์ เปิดเผยว่า ตนเองมองว่าไม่เป็นธรรมถึงแม้จะลดลงมาเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์คือ 7 ล้านบาท จริงๆแล้วรายได้ของน้องที่ได้มาทั้งหมดไม่ได้เข้ากระเป๋าน้อง หรือพ่อแม่เลย แต่เข้าที่ช่องหรือต้นสังกัดใหม่ที่น้องไปประกวด น้องได้แค่ค่าน้ำมันที่น้องไปเข้าประกวดแค่นั้นเอง ที่ผ่านมาน้องผลักดันตนเองมาโดยตลอด 100% ไม่เคยมีใครมาช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องต้นสังกัดเก่า ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ฟ้องน้องนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 หลังน้องได้ไปออกรายการหนึ่ง ร้องเพลง กะเลิฟคือเก่า จนเริ่มมีชื่อเสียงมียอดคนดูเพลงนี้ประมาณ 60 ล้านวิว ต้นสังกัดเก่าของน้องที่อยู่จังหวัดนครสวรรค์ ได้ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กของน้อง แจ้งความประสงค์ตอนแรก คืออยากให้น้องไปฟิสเจอร์ริ่งกับหลานของเขา โดยจะให้เงินจำนวน 5,000 บาท 


ซึ่งตนเองมองว่ามากไป จึงรับไว้แค่ 3,000 บาท ก่อนจะมีการนัดอัดเสียงที่ห้องอัดแถวดอนเมือง กทม. และจากนั้นไม่นานก็มีการนัดพูดคุยและเซ็นสัญญากัน ที่จังหวัดสระแก้ว ระยะเวลา 6 ปี จากนั้นตนเองก็เริ่มพาน้องออกงาน ตามที่ต้นสังกัดแจ้งมา โดยแต่ละงานได้เพียงแค่ค่าน้ำมันรถ 1-2 พันบาทมาโดยตลอด แม้จะเดินทางไปจังหวัดไหนก็ตาม  


กระทั่งกลางปี 62 น้องสไปรท์จะเปิดภาคเรียนและต้องเรียนหนังสือ ประกอบกับ ปัญหาเรื่องเงินของครอบครัว ที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย คงจะดันลูกต่อไปไม่ไหว เพราะครอบครัวต้องแบกรับภาระค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าโรงแรมเองทั้งหมด มีแต่รายรับคือค่าน้ำมันรถที่ต้นสังกัดเก่าให้เพียง 1-2 พันบาท เท่านั้น ตนเองเหลือแหวนทองวงสุดท้าย จึงได้คุยกับลูกและครอบครัวว่าเราคงต้องหยุด จึงติดต่อไปเพื่อขอยกเลิกสัญญา 


แต่ทางต้นสังกัดเก่าบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด อ้างว่าอยู่ต่างประเทศ หรือติดงาน ยังไม่สะดวกในการมาเซ็นยกเลิกสัญญาให้น้อง ตนเองจึงพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร เอาไว้ในข้อความเฟซบุ๊ก เพื่อแสดงเจตนารมณ์เดิม ตอนนั้นที่บ้านยังลำบาก น้ำท่วมบ้าน สถานการณ์โควิด ไม่เคยได้รับการติดต่อจากต้นสังกัดเดิมว่าจะมาให้การช่วยเหลือย่างไร จนน้องได้มีโอกาสกลับมาทำเพลงใหม่ ด้วยผลงาน เพลงทน มียอดวิวสูงถึง 420,000,000 วิว ติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Globa ทำให้มีชื่อเสียง ตนเองก็ไม่เข้าใจว่า ต้นสังกัดเก่าต้องการฟ้องร้องน้องเพื่ออะไร และเหตุผลอะไร

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง