ร้อง! ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สะเพร่าลืมเด็กไว้บนรถตู้ 7 ชม.

ร้อง! ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สะเพร่าลืมเด็กไว้บนรถตู้ 7 ชม.

235515 ก.ย. 67 16:56   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ร้อง! ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สะเพร่าลืมเด็กไว้บนรถตู้ 7 ชม. เด็กมีอาการหมดสติ ตาค้าง ตัวเหลือง โชคยังดีหมอช่วยไว้ทัน อ้างเสนอจะรับพ่อแม่เด็กเข้าทำงานในเทศบาลเพื่อเป็นการเยียวยา แต่ห้ามเรียกร้องสิทธิ์อะไรอีก

(15 ก.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก "ข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์" ได้โพสต์รูปภาพเด็ก 2 ขวบ พร้อมระบุข้อความว่า “ลูกเพจแจ้งมา ครูเทศบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ลืมเด็ก 2ขวบ ไว้ในรถตู้ ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสาม เด็กมีอาการหมดสติ ตาค้าง ตัวเหลือง โชคยังดีหมอช่วยไว้ทัน แต่เรื่องเหมือนจะจบเมื่อทาง นายกฯ เทศบาล รวบรวมเงินสด 1 หมื่นบาท ครูเวร 5 พัน มาให้ พร้อมเสนอจะรับพ่อแม่เด็กเข้าทำงานในเทศบาลเพื่อเป็นการเยียวยา โดยให้พ่อแม่เด็กเซ็นสัญญา 1-2-3-4 ว่าหลังจากเซ็นแล้ว ห้ามพ่อแม่เด็กเรียกร้องสิทธิ์อะไรอีก แต่พ่อแม่เด็กไม่เช็น ใช้งบหลวงเยียวยาแบบนี้ก็ได้เหรอ หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกโพสต์ออกไปมีชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันจำนวนมาก 

    

ต่อมาทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเด็กคนดังกล่าว อายุเพียง 2 ขวบ 7 เดือน เป็นเด็กนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของเทศบาลแห่งหนึ่งใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ (ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทิดไท้องค์ราชันเทศบาลตำบลซับสมอทอด) 

    

ล่าสุด ผู้สื่อข่าว เดินทางไปยังบ้านของเด็กคนดังกล่าว ซึ่งอยู่ใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ พบว่าทางครอบครัวมีความวิตกวังวน เกี่ยวกับอาการ ผลข้างเคียงที่จะตาม ของน้องนาเดียร์ เพราะหลังจากเกิดเหตุ และออกจากโรงพยาบาล ผิวหนังที่มือเท้าลอก จากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการผวาไม่อยากไปโรงเรียน ชุดนักเรียนก็ไม่ยอมใส่ แค่เห็นหน้าโรงเรียนก็ร้องไห้ ทุกวันนี้ ทางครอบครัว จึงตัดสินใจไม่ให้ไปโรงเรียน และช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อดูอาการ อยู่ที่บ้าน 

   

ขณะที่ทางพ่อของน้องนาเดียร์ คือนายทนงค์ เล่าว่า ทันทีที่ทราบข่าวว่าลูกสาวติดอยู่ในรถตู้ ตนทั้งตกใจและใจหายมาก เคยเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับลูกสาวของตน ตนจึงอยากให้ทางเทศบาล มารับผิดค่าเยียวยา ให้มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้ และในส่วนถ้าของการรักษา อยากให้มาดูแลรับผิดชอบจนกว่าทางครอบครัวมั่นใจว่าจะไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ เกี่ยวกับสมอง เพราะน้องติดอยู่ในรถตู้นานถึง 7 ชั่วโมง เช้าถึงเย็น และในส่วนของเงิน 10,000 บาท ที่ทางเทศบาลใส่ซองมาให้ ตนมองว่าน้อยเกินไปสำหรับชีวิตลูกสาวของตน เพราะที่บ้านก็ไม่ค่อยมีเงิน ถ้าวันข้างหน้าน้องเกิดเป็นอะไรขึ้นมาตนก็คงไม่มีเงินพาน้องไปรักษา จึงอยากให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแลเรื่องค่าเยียวยา ให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้ 


ด้านนางสาวสุจิรารัตน์ แม่ของน้องนาเดียร์ เล่าว่า ในวันดังกล่าวทางครูที่โรงเรียน โทรมาบอกว่า น้องนาเดียร์ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ซึ่งตนไม่คิดว่า ครูจะลืมลูกสาวของตนไว้ในรถตู้ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นบ่ายสามโรงเรียนเลิก และวันนั้นอากาศก็ร้อนด้วย ตอนนั้นใจร่วงไปถึงจึงรีบขี่รถไปหาลูกที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ก็เห็นสภาพลูกนอนนิ่ง ตาค้าง คิดในใจว่าลูกคงไม่รอดแล้ว กลัวไม่ได้ลูกคืนมา แต่โชคดีที่ลูกฟื้นขึ้นมาไม่ถึงเสียชีวิต โดยครูเวรในวันดังกล่าวบอกว่านับน้องลงจากรถตู้แล้ว ครบ 13 คน และขึ้นไปเช็กบนรถแล้วไม่มีใครอยู่บนรถตู้แล้ว ซึ่งตนไม่คิดว่าครูจะลืมลูกสาวของตนไว้บนรถตูั จนถึงบ่าย 3 โมงเย็น คนขับรถตู้มาพบว่า น้องนาเดียร์ นอนคว่ำหน้า อยู่ที่พื้นรถแถวที่สอง สภาพตาเลือก จึงรีบแจ้งครูและนำส่งโรงพยาบาล และโทรแจ้งตน 

    

สำหรับการเยียวยาทางเทศบาล ให้เงินสดมา 10,000 บาท และให้ตนไปทำงานในกองการศึกษาในเทศบาล ส่วนทางครูเวร ออกค่าห้องพิเศษให้ 2,000 บาท ค่าขนมน้อง 500 และ วันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมาให้เพิ่ม 5,000 บาท และถามตนว่าโอเคไหม แต่ตนยังไม่ตอบ และทางครูเวร ก็นำหนังสือสัญญามาให้ตนเซ็นว่า ตนได้รับเงินเยียวยา 15,000 บาท ค่าห้องพิเศษ 2,000 บาท โดยข้อ 4 ระบุว่า 


“ในการทำสัญญาฉบับนี้ ผู้รับสัญญาได้รับเงินช่วยเหลือตามข้อ 1 ข้อ 2 และ ข้อ 3 เรียบร้อยแล้ว และผู้รับสัญญาสละสิทธิ์และไม่ติดใจเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนอื่นใดจากความเสียหายต่อร่างกาย หรือค่าเสียหายในลักษณะเดียวกันนี้ จากผู้ให้สัญญาอีกรวมทั้งไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ให้สัญญาผู้ช่วยเหลือจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย” แต่ตนไม่เซ็น ตนจึงบอกไปทางครูเวร ว่าขอเพิ่มเงินเยียวยา อีก 33,000 ให้ครบ 50,000 บาท เพราะตนมองว่ามันน้อยไปสำหรับชีวิตลูกสาวเรา แต่เรื่องก็เงียบไป เมื่อวานตนโทรถามก็บอกว่ายังไม่ว่างคุยกับทางนายกฯ 

   

ส่วนเรื่องงานที่เสนอมา ตนก็ตัดสินใจไม่ไปทำ อยากขอเป็นเงินก้อนไว้รักษาลูกสาวดีกว่าเพื่อในวันข้างหน้าลูก เกิดป่วยเป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีเงินรักษา และตนมองว่า ถ้าตนขอเพิ่มทั้งเงิน และไปทำงานด้วย ก็เหมือนว่ามันมากไป และถ้าไปทำงานก็เหมือนว่า ตนเข้าไปทำงานแบบไม่ถูกต้อง ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีผลอย่างไรกับตนหรือไม่ ตนจึงตัดสินใจไม่ไปทำงาน ไปแค่วันแรกวันเดียว แล้วก็ไม่ไปอีกเลย 

   

สำหรับในใจตน อยากเรียกร้องเงินเยียวยา 50,000บาท หรือถ้าเป็นไปได้ 100,000 บาท แต่ก็เกรงใจ ไม่รู้จะได้ไหมอย่างไร เพราะตอนนี้เหมือนเรื่องก็เงียบไปเลย ยังไม่มีใครเข้ามาคุย 

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง